ตอบคำถามคาใจเกี่ยวกับคาราเต้

บทความนี้ เอามาจาก เวปไซท์ของ ชมรมคาราเต้ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดย ดร.พงศาล  มีคุณสมบัติ

แม้คาราเต้จะเป็นศิลปะการต่อสู้ที่อาจจะไม่ค่อยแพร่หลายนักในประเทศไทย  แต่เชื่อว่าหลายคนคงอาจเคยได้ยินถึงคาราเต้แล้วนึกสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่  ผมจึงถือโอกาสรวบรวมคำถามคาใจที่เคยได้ยินมามาเล่าให้ฟังจะได้รู้จักคาราเต้กันมากขึ้น

phongsanคาราเต้คืออะไร?

คาราเต้คือศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าแบบปะทะของญี่ปุ่นที่ดัดแปลงมาจากมวยจีน  โดยมีต้นกำเนิดอยู่ที่เกาะโอกินาว่าซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ใต้สุดของญี่ปุ่นที่เคยเป็นของจีนมาก่อน  คาราเต้ใช้ทั้งมือและเท้าในการต่อสู้โดยแบ่งการฝึกฝนออกเป็น 3 ประเภทคือ  การฝึกเทคนิค (Kihon)  การฝึกท่ารำ (Kata)  และการฝึกการต่อสู้ (Kumite)  แม้ว่าคาราเต้จะมีอยู่หลายแขนง  แต่การฝึกฝนทั้ง 3 ประเภทนี้อย่างได้สมดุลก็ยังเป็นหัวใจหลักของคาราเต้เกือบทุกแขนง

คาราเต้มีกี่แขนง?

ในสมัยเริ่มแรกตอนที่คาราเต้ยังอยู่แต่เฉพาะในเกาะโอกินาว่า  แต่ละสำนักก็มีการคิดค้นฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่ต่างกันออกไป  ชื่อของสำนักเหล่านี้จึงกลายมาเป็นชื่อแขนงของคาราเต้  เช่นโทมาริเตะ  นาฮาเตะ  และชูริเตะ  เป็นต้น  ต่อมาลูกศิษย์ลูกหาของแต่ละสำนักก็แยกตัวออกไปเปิดเอง  และแยกเป็นแขนงอื่นอีกหลายสิบแขนง  แม้แต่หลังจากที่มีการเผยแพร่คาราเต้เข้ามาในแผ่นดินใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นและมีการจัดระเบียบแบบแผนแล้ว  คาราเต้ก็ยังคงแตกแขนงออกไปตามการตีความหมายและความถนัดของอาจารย์เจ้าของสำนักแต่ละท่าน  หากนับรวมคร่าวๆ แล้ว  ในปัจจุบันคาราเต้น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 50 แขนงทั่วโลก  ในประเทศไทยมีการฝึกคาราเต้อย่างเป็นทางการเพียง 2 แขนงเท่านั้น  คือโกจูริว (หนึ่งในคาราเต้ดั้งเดิมก่อนเข้าประเทศญี่ปุ่น)   และโชโตกัน (คาราเต้แผนใหม่ที่ถูกเผยแพร่เป็นแขนงแรกจากโอกินาว่าสู่ประเทศญี่ปุ่น)

ทำไมคาราเต้ต้องฟันอิฐทำลายข้าวของด้วย?

การฟันอิฐชกไม้ที่เห็นกันในการแสดงสาธิตหรือในภาพยนต์เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของคาราเต้  ที่ใช้เป็นการวัดว่าผู้ฝึกสามารถรวมและส่งพลังได้คมแค่ไหน  ซึ่งสิ่งเหล่านี้  แม้สามารถนำไปใช้ประกอบการแสดงสาธิตที่คนดูประทับใจและจดจำได้  แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของการฝึกคาราเต้แต่อย่างใด  ซึ่งแม้แต่คนที่ได้สายดำหลายคนอาจจะยังไม่เคยฟันอิฐมาก่อนเลยก็ได้

แล้วศิลปะการต่อสู้แบบปะทะคืออะไร?

ก็คือศิลปะการต่อสู้ที่เน้นในการออกเทคนิคปะทะเป้าหมาย  เช่นการชกด้วยหมัด  การเตะด้วยเท้า  การกระแทกด้วยศอก  การฟันด้วยสันมือ  เป็นต้น  ศิลปะประเภทนี้นอกจากคาราเต้แล้วก็ยังมีเทควันโด  มวยสากล  มวยไทย  กังฟู  และอื่นๆ  นอกจากนี้ยังมีศิลปะการป้องกันตัวแบบจับหัก  เช่นไอคิโด  และแบบจับทุ่ม  เช่นยูโด  ซูโม  มวยปล้ำ  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น  ไม่ได้หมายความว่ามวยแบบปะทะจะจับหักหรือจับทุ่มไม่เป็น  ทั้งคาราเต้  เทควันโด  และมวยไทย  ต่างก็มีเทคนิคประเภทนี้ทั้งนั้น  เพียงแต่ไม่ได้เน้นเท่าศิลปะเฉพาะทาง

ทำไมต้องฝึกคาตะหรือกาต้า?

การฝึกเทคนิคพื้นฐานของคาราเต้  เพื่อให้เกิดความชำนาญในการออกอาวุธด้วยท่าต่างๆ  นับเป็นรากฐานที่สำคัญของการต่อสู้  แต่การฝึกเทคนิคเหล่านี้ซำ้ๆ กันเพียงอย่างเดียว (เช่นการยืนชกหรือเตะลมซ้ำๆ กันหลายร้อยครั้ง) เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ  ขาดเรื่องราวและความต่อเนื่องของการใช้เทคนิคต่างๆ  ในศิลปะการต่อสู้แบบตะวันออกจึงได้มีการรวบรวมเอาเทคนิคพื้นฐานต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นชุด  เรียกว่าคาตะ (Kata) หรือที่คนไทยเรียกกันว่ากาต้า  ซึ่งสำหรับนักศิลปะการต่อสู้หลายคนแล้ว  คาตะเป็นเสมือนคำภีร์ที่รวมเอาเทคนิคต่างๆ ในศิลปะการต่อสู้นั้นๆ พร้อมกับการประยุกต์ใช้ที่เป็นเรื่องราวประติดประต่อกันอย่างสวยงาม  การฝึกฝนคาตะเหล่านี้อย่างจริงจังมิใช่เพียงท่วงท่าภายนอก  จะทำให้ผู้ฝึกได้ทั้งการฝึกเกลาเทคนิคพื้นฐาน  และการต่อสู้กับศัตรูในจินตนาการไปในเวลาเดียวกัน  หรือสำหรับผู้ที่ละการฝึกมาเป็นเวลานาน  การรื้อฟื้นวิทยายุทธด้วยการทบทวนคาตะนับว่าเป็นทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูง  

และเนื่องจากคาตะมีความสำคัญเสมือนกระดูกสันหลังของคาราเต้นี่เอง  การทดสอบความสามารถและความเข้าใจในการรำคาตะจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสอบเลื่อนสายในทุกๆ ขั้น  โชโตกันคาราเต้มีคาตะทั้งหมด 26 ชุดด้วยกัน  ซึ่งตามแบบแผนสากลแล้ว ผู้ที่จะผ่านการสอบสายดำขั้นที่ 1 จะต้องรู้และทำคาตะได้ดีอย่างน้อย 9 ชุด (คาตะพื้นฐาน 5 ชุดและคาตะขั้นกลางอีก 4 ชุด)

คาราเต้กับเทควันโด  ต่างกันอย่างไร?

คำตอบง่ายๆ คือไม่ต่างกัน  ทั้งสองเป็นมวยปะทะที่ใช้ทั้งมือและเท้า  ทั้งสองมีการฝึกทั้งแบบต่อสู้ (sparring) และแบบท่ารำ (Kata)  แต่หากมองกันในด้านลึกแล้ว  ศาสตร์ทั้งสองนี้มีความแตกต่างกันระดับปรัชญาเลยทีเดียว  ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ  คาราเต้จะเน้นการใช้มือเป็นหลักและใช้เท้าเป็นส่วนเสริม  ในขณะที่เทควันโดจะเน้นการใช้เท้าเป็นหลัก  คาราเต้มุ่งเน้นในการล้มคู่ต่อสู้ภายใน 1-2 จังหวะด้วยเทคนิคที่มีประสิทธิภาพและตรงไปตรงมา (คล้ายกับการดวลดาบของซามูไร)  ในขณะที่เทควันโดจะเน้นที่ความคล่องแคล่วในการหลอกล่อคู่ต่อสู้และโจมตีด้วยเทคนิคที่สวยงาม  ในด้านลึกแล้ว  คาราเต้ถูกออกแบบมาสำหรับซามูไรหรือทหารในสมัยโบราณเพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันบ้านเมือง  ในขณะที่ตามประวัติศาสตร์แล้ว  เทควันโดถูกดัดแปลงมาจากศิลปะเก่าแก่ทั้งจากญี่ปุ่นและเกาหลี  เพื่อให้เป็นกีฬาที่ใช้ในการแข่งขัน

แต่คาราเต้ก็มีการแข่งขันไม่ใช่หรือ?

การแข่งขันคาราเต้มี 2 ประเภท  ประเภทแรกเป็นการแข่งขันท่ารำหรือคาตะ (Kata) ซึ่งคล้ายกับการแข่งขันยิมนาสติกหรือวูซู (Wushu)  ที่กรรมการจะให้คะแนนตามความสวยงาม  ถูกต้อง  พละกำลัง  ความเร็ว  ความมุ่งมั่นและสมาธิของผู้แข่งขัน  ประเภทที่สองเป็นการแข่งขันต่อสู้  คล้ายๆ กับการแข่งขันเทควันโดหรือมวยสากล  แต่ผู้ที่ทำคะแนนได้จะต้องออกเทคนิคอย่างถูกต้องด้วยความเร็วและแรงสูงสุดและต้องหยุดหมัดหรือเท้าเพียงแค่ที่ผิวของคู่ต่อสู้โดยที่ไม่ทำให้บาดเจ็บแต่อย่างใด  หากใครทำให้อีกฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บหรือน็อคเอาท์  ก็จะถูกตัดคะแนนหรือปรับแพ้ไปในที่สุด  ทั้งนี้เนื่องจากคาราเต้มุ่งเน้นในการเอาชนะตัวเองและเคารพผู้อื่น  การต่อสู้ประชันฝีมือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการเทียบว่าใครจะสามารถควบคุมและเอาชนะตัวเองได้มากกว่ากัน  แทนที่จะมุ่่งที่การทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่ง

สรุปแล้วคาราเต้กับเทควันโด  อันไหนดีกว่ากัน?

ศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุดคือศิลปะที่เหมาะสมกับตัวผู้ฝึกมากที่สุด  และตัวผู้ฝึกเองก็ต้องมีความรักและทุ่มเทให้กับการฝึกฝนศิลปะนั้นๆ  ศิลปะการต่อสู้ทุกประเภท  ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดมาจากไหนหรือมุ่งเน้นไปในด้านใดก็ตาม  ล้วนแต่เป็นการฝึกตนเพื่อพัฒนาบุคคลนั้นให้รู้จักควบคุมร่างกายและจิตใจ  มีความมั่นใจในตัวเอง  มีวินัย  มีความรับผิดชอบ  เคารพผู้อื่น  เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งที่ดีของสังคม

ทำไมไม่ค่อยเห็นคาราเต้ในภาพยนต์เหมือนศิลปะการต่อสู้ประเภทอื่น?

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า  คาราเต้มุ่งเน้นในการล้มคู่ต่อสู้ภายใน 1-2 จังหวะเท่านั้นด้วยเทคนิคที่ตรงไปตรงมา  ดังนั้นหากมีการเลือกใช้คาราเต้ในภาพยนต์  ฉากต่อสู้ที่ผู้ชมเฝ้ารอดูก็จะจบลงอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นภาพยนต์ที่เกี่ยวข้องกับคาราเต้  เช่นเรื่องคาราเต้คิด (Karate Kid)  หรือเรื่องภาพยนต์ซามูไรอื่นๆ จะเป็นแนวชีวิตปรัชญามากกว่าที่จะเป็นแนวแอ๊คชั่น  ที่สุดท้ายแล้ว  ภาพที่ผู้ชมจดจำก็มักจะเป็นเนื้อหาหรือข้อคิดในเรื่องมากกว่าที่จะเป็นฉากต่อสู้

ทำไมคาราเต้ต้องร้องเสียงดังเวลาออกท่าทาง?

การออกเทคนิคไม่ว่าจะเป็นการชกหรือเตะ  จะต้องมีความสัมพันธ์กับจังหวะการหายใจอยู่เสมอ  เช่นเดียวกับศิลปะการต่อสู้อื่นๆ ไม่ว่าจะอ่อนนุ่มอย่างไทเก็ก  หรือแข็งแกร่งอย่างมวยไทย  ในขณะที่หมัดหรือเท้าปะทะกับเป้าหมายจะต้องมีการระบายความดันลมออกจากท้องน้อย (สำหรับศิลปะตะวันออกแล้วนับว่าเป็นจุดกำเนิดแรงหลักของร่างกาย)  มิเช่นนั้นแรงปฏิกิริยาจากการปะทะจะวิ่งย้อนในลักษณะของคลื่นกระแทก (shock wave) ผ่านทางหมัดหรือเท้าเข้าสู่ส่วนของร่างกายที่มีแรงดันลมอยู่  ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการจุกหรือสำลักลมได้  ยิ่งเทคนิคปะทะเป้าแรงเท่าใด  แรงปฏิกิริยาที่ย้อนกลับมาก็จะแรงเท่านั้น  เราไม่สามารถที่จะลดแรงปฏิกิริยานี้ได้ (กฎข้อที่ 3 ของนิวตัน) แต่เราสามารถที่จะเตรียมร่างกายเพื่อดูดซับแรงนี้ได้ด้วยการลดความดันลมภายในร่างการโดยเฉพาะที่จุดกำเนิดแรง (ท้องน้อย)  ซึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือการปล่อยลมจากท้องน้อย (ไม่ใช่จากคอ) ผ่านทางปาก  ด้วยอัตราที่สัมพันธ์กับความเร็วของเทคนิค  จึงทำให้เกิดเสียงที่ดังและสั้นตามจังหวะของเทคนิคที่ออกไป  ดังนั้นแม้ในการฝึกเทคนิคโดยไม่มีการปะทะเป้า (การชกหรือเตะลม) การฝึกเปล่งเสียงตามจังหวะของเทคนิคที่ออกไปจึงเป็นการฝึกจังหวะการหายใจที่สำคัญ  เสียงนี้ยังใช้ในการข่มขู่คู่ต่อสู้ซึ่งแม้จะได้ผลในบางครั้ง  แต่ก็นับเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น

ผู้ที่ฝึกคาราเต้จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร?

ควรจะเป็นคนที่มีความตั้งใจที่จะพัฒนายกระดับความสามารถทางร่างกายและจิตใจของตนเอง  ไม่มีข้อจำกัดทางเพศหรือวัย  คาราเต้เป็นเรื่องของการสร้างแรง  ไม่ใช่การใช้แรงเพียงอย่างเดียว  ไม่จำเป็นต้องเป็นคนตัวอ่อน  แยกขาได้สุด  เพราะยังมีอีกหลายเทคนิคที่คุณจะใช้ได้มากกว่าการยกเท้าเตะศีรษะคู่ต่อสู้  ไม่จำเป็นต้องเป็นคนชอบการปะทะ  เพราะคุณสามารถมุ่งเน้นที่การฝึกท่ารำและเทคนิคอื่นๆ ได้  ขอเพียงมีความตั้งใจและรับผิดชอบ  เท่านี้สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคก็จะไม่ใช่อีกต่อไป

การได้สายดำคือการเรียนจบหลักสูตรคาราเต้  ใช่หรือไม่?

ก็ไม่เชิง  การที่ผู้ฝึกคาราเต้ได้สายดำขั้นที่ 1 (1 ดั้ง) หมายความว่า  ผู้นั้นผ่านการฝึกพื้นฐานมาแล้วและพร้อมที่จะเริ่มการฝึกฝนในขั้นที่สูงขึ้น  ความหมายของ 1 ดั้งหรือ “โชดัง” (Shodan) จริงๆ แล้วคือผู้เริ่มต้น  เริ่มที่จะฝึกคาราเต้อย่างจริงจัง  และพร้อมที่จะหาคำตอบว่าจริงๆ แล้วคาราเต้คืออะไรกันแน่

แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเรียนจบคาราเต้?

เมื่อคุณเลิกเรียนคาราเต้  คาราเต้เป็นหนทาง  ไม่ใช่เป้าหมาย  และหนทางนี้มีความยาวที่แม้จะเดินทั้งชีวิตก็ยังไม่สุด  ทางเดียวที่จะจบได้คือคุณก้าวออกจากเส้นทางนี้ไปใช้เส้นทางอื่น  แม้แต่ปรามจารย์ระดับสายดำขั้นที่ 10 (ซึ่งทั้งโลกมีอยู่ไม่ถึง 10 คน) ยังรู้สึกว่าตัวเองยังมีอะไรที่ต้องฝึกฝนอีกมาก

 

พงศาล  มีคุณสมบัติ
ผู้ฝึกสอน  ชมรมคาราเต้โด  มหาวิทยาลัยนเรศวร
สายดำขั้นที่ 3 สหพันธ์โชโตกันคาราเต้โดนานาชาติ (SKIF) และสมาคมคาราเต้ประเทศญี่ปุ่น (JKA)

Presets
BG Color
BG Patterns
Accent Color
Apply